หลายๆ คนจำใจทำงานที่ตัวเองไม่ได้ชอบแลกกับเงินเดือนเพื่อไปช้อปปิ้งหรือเที่ยวกระหน่ำในวันหยุด จึงทำงานแบบ “ก้มหน้าก้มตาทำไปวันๆ” “เช้าชามเย็นชาม” หรือ “เกลียดวันจันทร์ รักวันศุกร์” และบอกว่าความสุขจากการทำงานนั้นหาได้ยากมาก ซึ่งสวนทางกับทิศทางที่ควรจะเป็นที่บอกว่า “พนักงานที่มีความสุขถึงจะทำงานออกมาดี”

ศาสตราจารย์ทาคาชิ มาเอโนะ แห่งมหาวิทยาลัยเคโอ ประเทศญี่ปุ่น ผู้ซึ่งเป็นรุ่นบุกเบิกในการศึกษาเกี่ยวกับความสุขของมนุษย์ และยังมีส่วนในการให้คำแนะนำรัฐบาลเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานผ่านปัจจัยด้านความสุข ได้สรุปประเด็นจากการสำรวจคนญี่ปุ่นจำนวน 1,500 คน ถึงปัจจัยหลักที่หากใครก็ตามที่มีก็จะทำให้เขาเหล่านั้นมีความสุขได้ 4 ปัจจัยดังกล่าวได้แก่
1. การตระหนักรู้และการพัฒนา
ปัจจัยแห่งความสุขประการแรกจะเกิดกับคนที่รู้จุดแข็งหรือข้อดีของตัวเองและมุ่งมั่นในการพัฒนาสิ่งนั้น รวมถึงมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ความสุขที่ทำให้เราพอใจอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้นำความสามารถของตัวเองออกมาใช้อย่างเต็มที่ เราจึงควรเลือกทำงานที่มีความท้าทายบ้าง มากกว่าเลือกทำแต่งานง่ายๆ แบบเบื่อหน่ายไปวันๆ
นอกจากนั้น เรายังควรทำงานที่ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่าและมีความหมาย เพราะสิ่งที่คนเราต้องการจริงๆ ไม่ใช่ภาวะไร้ความเครียดโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการดิ้นรนเพื่อให้ไปสู่จุดหมายบางอย่างที่มีคุณค่าสำหรับเรา
2. ความสัมพันธ์ที่ดีและความรู้สึกขอบคุณ
ปัจจัยแห่งความสุขอีกประการหนึ่งขึ้นอยู่ที่ว่า คนๆ นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง คือมีกลุ่มคนที่คอยใส่ใจและได้รับการชื่นชมอยู่เสมอๆ หรือไม่ การมีความสัมพันธ์กับที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน หรือมีกลุ่มเพื่อนๆ สนิทที่สามารถปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นจะมีความสุข สุขภาพดี และอายุยืนกว่าคนที่โดดเดี่ยวเดียวดาย วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุดก็คือ การถามสารทุกข์สุกดิบ และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ค่ะ
3. การมองโลกในแง่ดี
คนที่มีความสุขมักเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งและมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปด้วยดี ไม่จมอยู่ในความทุกข์หรือวิตกกังวลมากจนเกินไป แต่จะใช้ปัญหา อุปสรรค และความผิดพลาดต่างๆ เป็นบทเรียนที่ดี เราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย และไม่มีทางพัฒนาได้ ถ้ากลัวกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้น
และต้องอย่าลืมว่าความพ่ายแพ้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราล้มเลิกความตั้งใจ เพราะสิ่งที่รับประกันความล้มเหลวได้อย่างแน่นอนก็คือ ความรู้สึกหมดหวังกับอนาคตและการไม่รู้จักเอาประสบการณ์ในอดีตมาใช้ให้เป็นประโยชน์
4. ความเป็นตัวของตัวเอง
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตัวเอง หรือไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครมักจะเป็นคนที่มีความสุขมากกว่า เพราะจะสามารถพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีและเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดโดยไม่พยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่นๆ ค่ะ
คนทำงานประจำจึงควรตั้งเป้าหมายการทำงานเฉพาะตัวซึ่งเป็นการแสดงความสามารถพิเศษของตัวเองออกมาและทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น การแสวงหาความเหนือกว่าที่ดีที่สุดคือ ความตั้งใจที่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อก้าวไปให้ไกลกว่าจุดที่ตัวเองอยู่ในปัจจุบัน ใม่ใช่การแข่งขันเพื่อให้อยู่สูงกว่าคนอื่น เพราะหากใจเราจดจ่ออยู่กับการแพ้ชนะ เราจะมีแต่ความทุกข์และจะคอยคิดว่าเราชนะคนโน้นแพ้คนนี้ ความสุขของคนอื่นจึงไม่ต่างอะไรกับความพ่ายแพ้ของตัวเอง เราจึงไม่สามารถยินดีไปด้วยได้ ในไม่ช้าโลกทั้งใบจะเป็นศัตรูกับเราทำให้เราเป็นทุกข์อยู่เสมอ
ติดตามอ่านเรื่องราว การทำธุรกิจและการทำงานที่เต็มไปด้วยความสุข ในหนังสือ “ธุรกิจสร้างสุข” ของพิชชารัศมิ์ Marumura ได้ที่ Life Inspired by พิชชารัศมิ์